นับตั้งแต่ทั่วโลกประสบปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เราจะได้อ่านข่าวจากต่างประเทศเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์ในสวนสัตว์ที่มีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากมนุษย์อยู่บ้าง โดยจากรายงานการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า สัตว์เลี้ยงประจำบ้านอย่างสุนัข แมว หรือสัตว์ชนิดอื่น สามารถติดไวรัสโคโรนา 2019 ชนิดเดียวกับมนุษย์ได้ สันนิษฐานว่าเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อไวรัส แต่พบน้อยมาก เมื่อเทียบสัดส่วนประชากรสัตว์เลี้ยงทั้งหมด นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีการรายงานการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากสุนัข หรือแมวสู่คน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เห็นข่าวในต่างประเทศว่าเจ้าของบางคนนำสุนัขและแมวไปปล่อย เพราะกลัวว่าสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นจะเป็นพาหะของโรคมาสู่ตนเอง ทั้งนี้ จากรายงานพบว่าสุนัขและแมวที่ติดเชื้อจะแสดงอาการน้อยมากและไม่รุนแรงเท่ามนุษย์
โคโรนาไวรัสที่พบในสุนัขและแมว จะเป็นคนละสายพันธุ์กับมนุษย์ โดยโคโรนาไวรัสในสุนัขจะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก สุนัขที่ติดเชื้ออาจมีการถ่ายเหลว ส่วนโคโรนาไวรัสที่พบในแมว ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรง ยกเว้นบางสายพันธุ์ที่สามารถทำให้เกิดโรคที่มีอาการรุนแรงได้ เช่น มีของเหลวคั่งในช่องท้อง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ท่านที่มีสัตว์เลี้ยงก็ควรดูแลและป้องกันตัวเองและสัตว์เลี้ยงด้วยการรักษาสุขลักษณะที่ดี เช่น ล้างมือทั้งก่อนและหลังการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง และหากเจ้าของมีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคโควิด-19 และต้องกักตัว 14 วัน ในช่วงดังกล่าว เจ้าของยังสามารถให้อาหารสัตว์เลี้ยง และทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ตามปกติ แต่ควรเลี่ยงการสัมผัสที่ใกล้ชิด เช่น การกอด จูบ หอม หรือนอนด้วยกัน แต่หากเจ้าของติดเชื้อโรคโควิด-19 และต้องเข้ารับการรักษาตัว
ADVERTISEMENT
การจัดการกับสัตว์เลี้ยง ควรเน้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบตัวสัตว์ที่น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้สัตว์เกิดความเครียดมากจนเกินไป และอาจให้สมาชิกในบ้านคนอื่นๆ ที่คุ้นเคยเข้ามาดูแลแทน โดยผู้ดูแลก็ควรปฏิบัติตัวในการรักษาสุขลักษณะตามปกติ อย่างไรก็ตามหากจำเป็นที่สัตว์เลี้ยงจะต้องมีการย้ายที่อยู่ แนะนำให้พิจารณานำสัตว์เลี้ยงไปอยู่กับครอบครัวของญาติพี่น้องที่เขาพอจะรู้จักหรือคุ้นเคยบ้างก่อน แต่หากมีความจำเป็นที่จะต้องนำสัตว์เลี้ยงไปฝากตามโรงพยาบาลสัตว์หรือโรงแรมที่รับเลี้ยงจริงๆ ก็อาจจะนำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สัตว์เลี้ยงคุ้นเคยติดไปด้วย เพื่อให้เขามีกลิ่นที่คุ้นชิน เป็นการช่วยลดความเครียดให้แก่สัตว์ ก่อนการขนย้ายสามารถอาบน้ำให้สัตว์ได้ตามปกติโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อพิเศษใดๆ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังของสัตว์ได้
การดำเนินชีวิตแบบ New Normal หรือ การทำงานแบบ Work From Home ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของสัตว์เลี้ยงเช่นกัน เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้าของมีการเปลี่ยนแปลง จากที่ไม่อยู่บ้านทั้งวัน กลายมาเป็นการอยู่แต่ในบ้าน และในอนาคตเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เจ้าของก็จะกลับไปทำงานหรือเรียนตามปกติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของสัตว์จนอาจทำให้เกิดความเครียดได้ สัตว์บางตัวสามารถรับมือกับความเครียดได้ดี บางตัวรับมือไม่ค่อยได้ ดังนั้น เจ้าของจึงควรมีการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดปัญหาทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยควรรักษากิจวัตรประจำวันต่างๆ ของสัตว์เลี้ยงให้เหมือนเดิมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น พยายามให้อาหารเวลาเดิม พาไปเดินเล่นเวลาเดิม เล่นกับสุนัขในเวลาเดิม หรือหากในระหว่างวันสุนัขมักจะนอนพักผ่อน เราก็ควรจะมีช่วงเวลาที่ให้สุนัขได้อยู่เพียงลำพังเพื่อพักผ่อนเช่นกัน
ศบค.ผ่อนคลายกฎเหล็กงานก่อสร้างเคลื่อนย้ายแรงงานพื้นที่สีแดงเข้ม
เมืองชลยังหนักพบติดเชื้อโควิดใหม่เพิ่ม275ราย
เป็นช่วงเวลาที่เราไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสุนัข เพื่อให้คล้ายกับในสถานการณ์ปกติมากที่สุด สำหรับแมว ในช่วงระหว่างวันที่เจ้าของเคยไม่อยู่บ้าน แมวอาจจะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการพักผ่อน เมื่อเจ้าของเปลี่ยนมาอยู่บ้านทั้งวัน บางครั้งแมวก็อาจจะรู้สึกถูกรบกวน ซึ่งก็อาจทำให้เกิดความเครียดได้ เราสามารถสังเกตความเครียดของแมวได้จากพฤติกรรมหลายๆ อย่าง เช่น การเลียขนตัวเองมากขึ้นหรือลดลงกว่าปกติ การไปหลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบต่างๆ ไม่ยอมออกมา หรือการขับถ่ายนอกกระบะทราย เป็นต้น ดังนั้น ในช่วง Work from Home ถึงแม้ว่าเราจะอยู่บ้านตลอดทั้งวัน แต่ก็มีช่วงเวลาที่เราต้องปฏิบัติงานเสมือนอยู่ออฟฟิศ เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่กับสัตว์เลี้ยงของเราตลอดเวลา โดยอาจจะอยู่กันคนละห้อง หรือหากสัตว์เลี้ยงพยายามเข้าหาเราตลอดเวลา ก็ควรมีการฝึกสัตว์เลี้ยงให้เคยชินกับการแยกจากเจ้าของ ควรทำให้ช่วงเวลาที่แยกกันนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับสัตว์ ซึ่งสามารถทำได้โดยการให้ขนมหรือของเล่นแก่สัตว์เลี้ยงเมื่อแยกจากผู้เลี้ยง การปฏิบัติดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาทางจิตใจของสัตว์เมื่อทุกอย่างกลับเป็นปกติ และเจ้าของจะต้องกลับไปทำงานหรือเรียนในช่วงกลางวันตามเดิม
ในระหว่างการ WFH เจ้าของควรปรับรูปแบบของกิจกรรมต่างๆ ตามสถานการณ์ของโรค เช่น หากปกติเรามักพาสุนัขไปเดินออกกำลังในสวนสาธารณะเป็นประจำในช่วงเย็น การพาสัตว์เลี้ยงจูงเดินในช่วงนี้ ก็ควรมีการรักษาระยะห่างทางสังคมจากผู้อื่นที่มาใช้สถานที่ในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นช่วงที่ไม่สามารถพาสุนัขไปออกกำลังกายได้ เจ้าของอาจมีกิจกรรมอื่นเพื่อให้สุนัขได้ใช้พลังงานทดแทนการออกกำลังกาย เช่น การให้สุนัขออกกำลังสมอง โดยการดมกลิ่นต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคย อาจจะซ่อนกลิ่นเหล่านั้นไว้ในบ้าน เป็นการส่งเสริมให้เขาได้ใช้พฤติกรรมตามธรรมชาติ เกิดการค้นหา ได้ใช้ความคิดและพลังงาน หรือใช้ของเล่นสำหรับสุนัขที่ใส่อาหารเข้าไปได้ (puzzle feeder) ก็ช่วยให้สุนัขได้ออกกำลังสมอง และยังใช้ในการฝึกให้สุนัขสามารถอยู่เพียงลำพังได้อีกด้วย นอกจากนี้ การฝึกเชื่อฟังคำสั่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง หมอบ คอย ขอมือ กลิ้ง ก็จะช่วยให้สุนัขใช้ความคิด และใช้พลังงานในร่างกายไปได้อย่างมากเช่นกัน
สำหรับแมวนั้น การเลี้ยงในปัจจุบันยังมีทั้งแบบระบบปิดและระบบเปิด ซึ่งถ้าดูในเชิงพฤติกรรมและสวัสดิภาพของแมว การเลี้ยงในระบบปิดแต่มีพื้นที่ภายนอกที่กั้นรั้วไว้อย่างมิดชิดรอบด้าน จะเป็นรูปแบบการเลี้ยงที่ส่งผลดีต่อสวัสดิภาพของแมวมากที่สุด เพราะแมวจะมีโอกาสได้เห็น ได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน ในขณะที่ก็ยังมีความปลอดภัยทางร่างกายอยู่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เจ้าของสามารถชดเชยพฤติกรรมตามธรรมชาติที่ขาดหายไปจากการเลี้ยงในระบบปิด เช่น พฤติกรรมการล่า ได้โดยการเล่นกับแมวโดยใช้ไม้ตกแมว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการทางธรรมชาติของแมวได้เป็นอย่างดี และถือว่าเป็นวิธีการเล่นที่เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากเป็นการเล่นที่มีระยะห่าง และไม่ต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้การใช้ puzzle feeder ในการให้อาหารแมว ก็ถือเป็นการช่วยทดแทนพฤติกรรมการล่าที่ขาดหายไปจากการเลี้ยงแต่ในบ้านได้เป็นอย่างดี
ในการเลี้ยงสัตว์นั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่มีโรคระบาดหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ในแต่ละช่วงวัยอย่างถูกต้อง การใช้เพียงประสบการณ์หรือคำบอกเล่าที่ทำตามกันมานั้น อาจจะไม่เพียงพอและไม่ถูกต้องทั้งหมด ผู้เลี้ยงควรใช้ความรู้ทางวิชาการที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ และเลือกใช้วิธีการเลี้ยงที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สัตว์เลี้ยง สร้างสวัสดิภาพที่เหมาะสมและทำให้สัตว์เลี้ยงมีความสุขในการมีชีวิตอยู่ร่วมกับเรามากที่สุด
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก
https://www.posttoday.com/politic/columnist/657136
แมวส่วนใหญ่นั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่เย่อหยิ่งเย็นชาและแสนจะเอาแต่ใจตัวเอง แต่พฤติกรรมด้านลบเหล่านี้ย่อมมีข้อยกเว้นในแมวบางตัวและในบางสถานการณ์ เช่นแมวที่อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิดระหว่างการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 พวกมันมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป กลายเป็นแมวที่อ่อนโยนและรู้จักแสดงความรักต่อเจ้าของมากขึ้น
ทีมนักวิจัยจากหลายสถาบันในสหราชอาณาจักร ซึ่งนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์จากมหาวิทยาลัยยอร์ก เผยผลศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ที่มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่และพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงหลายชนิด ระหว่างช่วงการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 เมื่อปี 2020 โดยรายงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Environmental Research and Public Health (IJERPH)
นักวิทยาศาสตร์แนะนำเทคนิค กะพริบตาช้า ๆ ช่วยผูกมิตรกับแมว
คาเฟ่แมวในอังกฤษกับภารกิจแก้ปัญหาแมวถูกทอดทิ้ง
แมวเหมียวติดกับ กล่องลวงตา ชอบเข้าไปนั่ง-นอน แม้ไม่ใช่รูปทรงสี่เหลี่ยม
ผลสำรวจความคิดเห็นและประสบการณ์จากเจ้าของสัตว์เลี้ยงหลากชนิด ทั้งสุนัข แมว ม้า กระต่าย นก ปลา และสัตว์เลื้อยคลาน รวมทั้งสิ้น 5,323 ราย พบว่า 67% ของคนเหล่านี้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม ทั้งแง่บวกและแง่ลบที่เกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง ระหว่างการล็อกดาวน์ครั้งแรกของสหราชอาณาจักร
น่าประหลาดใจว่ามีการรายงานพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางบวกของสัตว์เลี้ยง จากบรรดาเจ้าของแมวเหมียวมากที่สุด ในขณะที่รายงานเรื่องความเปลี่ยนแปลงในทางลบ กลับมาจากเจ้าของสุนัขมากที่สุด
เจ้าของแมวเหมียวส่วนใหญ่พบว่า พวกมันเข้ามาคลอเคลียแสดงความรักบ่อยครั้งขึ้น ทั้งดูสงบนิ่งไม่ตื่นตกใจหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อเจ้าของอยู่บ้านทั้งวัน ในขณะที่เจ้าตูบดูจะเอาแต่ใจ ชอบเห่าหอน และหวงเจ้าของมากขึ้นอย่างไร้เหตุผล
รูปแมวนอนบนตักเจ้าของ
ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES
ทั้งนี้ เจ้าของสัตว์เลี้ยงกว่าครึ่งที่เข้าร่วมการสำรวจพบว่า ตารางการใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบน้อยลง จนมีเวลาใส่ใจดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเองมากขึ้น ทำให้พวกมันส่วนใหญ่สงบนิ่งและผ่อนคลาย สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตมนุษย์ในช่วงการล็อกดาวน์ได้ดี บางตัวก็ขี้เล่นและมีชีวิตชีวามากขึ้น ทั้งชอบตามติดเจ้าของไปทุกหนแห่งแทบจะตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าแมวบางตัวนิสัยเปลี่ยนไปเพียงชั่วคราว โดยทำตัวน่ารักอ่อนโยนขึ้นแค่ในช่วงแรกของการล็อกดาวน์เท่านั้น แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ พวกมันก็ออกอาการเบื่อหน้าเจ้าของเสียแล้ว ทั้งยังดูจะหงุดหงิดเจ้าอารมณ์มากขึ้นอีกด้วย
ผลการสำรวจของเราชี้ว่า การกักตัวและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ลงระหว่างการล็อกดาวน์ อาจทำให้เจ้าของหันไปให้ความสนใจกับสัตว์เลี้ยงของตนมากขึ้น ซึ่งก็จะพลอยส่งผลให้พวกมันมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปได้ ทั้งในทางบวกและทางลบ ทีมผู้วิจัยกล่าวสรุป
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก
https://www.bbc.com/thai/international-57711169
สัตว์เลี้ยง นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ที่หลายคนดูแลอย่างดี เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว ซึ่งเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ ดีกรีอุณหภูมิก็พุ่งสูง ทำให้หลายคนที่เลี้ยงสัตว์ในคอนโด หรือที่พักอาศัย ต้องคำนึงถึงสัตว์เลี้ยงเป็นพิเศษ ด้วยอุณหภูมิภายในห้องพักที่ร้อนหรือเย็นมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของสัตว์เลี้ยงโดยตรง นำไปสู่การเจ็บป่วยต่างๆ อาทิ ฮีทสโตรก อารมณ์เสีย เครียด รวมไปถึงโรคพิษสุนัขบ้าด้วย
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้รวบรวมข้อมูลจากสัตวแพทย์โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อมาแบ่งปันเคล็ดลับการดูแลสัตว์เลี้ยงในคอนโดช่วงหน้าร้อนให้สุขภาพดีทั้งกายและใจ ซึ่งมี 4 ข้อดังนี้
1.จัดโซนที่พักและที่นอนให้มีอากาศถ่ายเทได้ดี ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ การเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมิเนียมนั้น หากเป็นสุนัขแนะนำให้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เล็กถึงพันธุ์กลาง เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ อยู่แล้วสัตว์เลี้ยงไม่อึดอัด หากอยู่ในพื้นที่คับแคบเกินไป อากาศไม่ถ่ายเทอาจจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการกินและการขับถ่าย เช่น เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย มักมาจากปัญหาความเครียดในสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ นอกจากนี้ ควรหามุมสำหรับวางที่นอนให้สัตว์เลี้ยงที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หากเลี้ยงสุนัข หรือแมวสายพันธุ์ที่มีขนหนา ควรให้อยู่ในห้องแอร์เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดภาวะโรคลมแดด (โรคฮีทสโตรก)
2.หมั่นดูแลความสะอาดของขนและผิวหนังของสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ โดยเฉพาะหน้าร้อน เพราะหากไม่ดูแลเรื่องความสะอาดก็อาจเกิดปัญหาผิวหนังต่างๆ ได้ อาทิ น้องแมวที่มีอาการคันก็อาจจะแทะขาตัวเอง ดึงขนจนหลุดเป็นหย่อมๆ เป็นการแสดงออกเพื่อบรรเทาความเครียดวิธีหนึ่ง หากเจ้าของไปขัดขวาง ทำโทษ ดุเขา หรือใส่คอลลาร์กันเลียให้นั่นคือการแก้ไขที่ผิดจุด สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือการมีพฤติกรรมก้าวร้าวขึ้น ฉะนั้นควรแก้ที่ต้นเหตุด้วยการดูแลความสะอาดนั่นเอง ทั้งนี้ สำหรับ สุนัข ในหน้าร้อนควรอาบน้ำให้ค่อนข้างบ่อย โดยทั่วไปสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง ส่วน แมว ช่วงฤดูร้อนควรอาบน้ำเดือนละครั้ง โดยเลือกแชมพูอาบน้ำที่เหมาะสม ไม่ทำให้ผิวหนังแห้ง และที่สำคัญอย่าลืมเป่าขนให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันการอับชื้นอันจะนำมาซึ่งโรคผิวหนังต่างๆ
3.ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ทั้งในสุนัขและแมว ด้วยเป็นโรคที่มักระบาดในช่วงหน้าร้อน และสามารถระบาดจากสัตว์สู่คนได้ และ 4.หากิจกรรมผ่อนคลายความเครียดและเติมเต็มความสุขแบบง่ายๆ เพราะสัตว์เลี้ยงยังคงต้องการการออกกำลังกาย วิ่งเล่น พักผ่อน ซึ่งนอกจากจะดีต่อสุขภาพร่างกายแล้วยังช่วยให้สัตว์เลี้ยงไม่เกิดความเครียดสะสมที่จะส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ด้วย
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก
https://www.matichon.co.th/lifestyle/social-women/news_2765363
04.